ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฏาคมในแถบอำเภอปัวจะมี อะโวคาโดออกเป็นจำนวนมากฉะนั้นวันนี้ก็จะมาพูดเรื่องอะโวคาโดในเมืองปัว เมืองปัว เป็นเมืองอะโวคาโดก็ว่าได้เพราะว่าปกติผมก็ไม่เคยเห็นผลอะโวคาโดมาก่อนไม่รู้จักแล้วก้อไม่เคยเห็นลูกอะโวคาโดจริงๆแล้วก้อได้กินตอนมาอยู่ที่นี่เมื่อ 26 ปีก่อนซึ่งตอนนั้นต้นอะโวคาโดก็มีอยู่เต็มไปหมดของในแถบอำเภอปัว เพียงแต่ว่าลักษณะของมันเป็นพันธุ์ที่เกิดจากการโยนเมล็ดแล้วก็ขึ้นไปเรื่อยๆลูกออกมาก็ดีบ้างไม่ดีบ้างแต่ชาวบ้านก็ไม่ตัดทิ้งปล่อยให้มันเติบโตไปตอนนั้นก็เริ่มหาข้อมูลเรื่องอะโวคาโดไปรู้มาว่าสถานีฝึกนิสิตเกษตรที่ปากช่องมีขายเป็นจองอาจารย์ที่สอนในม.เกษตรศาสตร์ก็เลยขับรถไปดูก็ได้ซื้อต้นอะโวคาโดที่เกิดจาการทาบกิ่งซึ่งสมัยนัน้ก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลก ทาบมา 4 สายพันธุ์มี บูท7,มักคาเนีย,ปีเตอร์สัน แล้วก็แฮก จากนั้นก็เริ่มปลูก ปลูกมาได้ 4- 5 ปีก็ตัดพันธุ์แฮกออกไปเพราะว่าพันธุ์แท้ไม่สามารถติดลูกได้พอติดได้ก็ร่วงนอกนั้นก็มีปีเตอร์สันกับมักคาเนียที่ได้ผลดีกว่าเพื่อนก็เลยลองทาบกิ่งและขยายพันธุ์มาเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็ไปซื้ออะโวคาโดที่เป็นพันธุ์พื้นเมืองที่เรามีความรู้สึกว่ามันมีรูปร่างและเนื้อที่ดีไม่แพ้พันธุ์ต่างประเทศ ตอนนี้ที่ฟาร์มเห็ดเราก็นอกจากฟาร์มเห็ดพื้นที่สวนส่วนใหญ่ก็จะปลูกต้นอะโวคาโดในราคาเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนที่มาอยู่ใหม่ๆอะโวคาโดราคาโลละ 10บาทแล้วก็ขยับมาเรื่อยๆสูงสุดน่าจะราวๆ60-70บาทก่อน โควิดเมืองน่าเป็นเมืองท่องเที่ยวชาวบ้านก็ได้ขายอะโวคาโดในราคาที่ใกล้เคียงกับกรุงเทพฯเลยพอหลังจากโควิดนักท่องเที่ยวน้อยลงราคาอะโวคาโดก็ต่ำลงเรื่อยๆน่าจะยื่นพื้นอยู่ที่30บาท ตอนนี้เราก็เลยเริ่มมีเมนู อะโวคาโดเข้ามาอยู่ในเมนูค่อยเสิร์ฟให้กับคนที่มาทานที่ร้านเราด้วย เมนูที่มีส่วนผสมของ อะโวคาโดที่ร้านของเราก็คือ สลัดอะโวคาโด เป็นสลัดน้ำมันมะกอกเพราะว่าเราไม่ต้องการให้มีความหวานหรือความมันตามแบบที่เราเคยกินสลัดทั่วๆไปก็เพราะว่าเราต้องการให้มันเป็นอาหารเพื่อสุขภาพมากหน่อยแล้วก็ถ้าเป็นคนที่ไม่ชอบทานอาหารฝรั่งเราก็มีเป็น ส้มตำอะโวคาโดก็คือเอาทำแบบส้มตำให้เหมือนมันเป็นสลัดแบบไทยๆก็เข้ากันได้ดีไปอีกแบบ